เอฟเวอร์โตเนียน กับโอกาสตกชั้นในรอบ 71 ปี

เป็นเวลาร่วม 71 ปีแล้วที่ เอฟเวอร์ตัน โลดแล่นอยู่บนลีกสูงสุดในอังกฤษ แต่ฤดูกาล 2021-22 คงเป็นครั้งแรกที่หลายคนพูดได้เต็มปากว่า สโมสรจากลิเวอร์พูล อาจต้องตกชั้นไปเริ่มกันใหม่ในลีกรอง
ปัจจุบัน พวกเขารั้งอันดับ 17 ในพรีเมียร์ลีก แต่มีเกมตกค้างอยู่ 1 นัด มากกว่า วัตฟอร์ด ทีมอันดับ 19 และ เตะน้อยกว่า ลีดส์ ยูไนเต็ด ทีมอันดับ 16 อยู่ 2 นัด ดังนั้นยังมีโอกาสที่พวกเขาจะทำแต้มหนีจากพื้นที่สีแดงอยู่เช่นกัน หากเก็บชัยชนะนัดที่เหลือได้
หากเอฟเวอร์ตัน ซึ่งเป็นทีมประจำในลีกสูงสุดมานาน หลายทศวรรษ จบลงด้วยการตกชั้น มันจะเป็นหนึ่งในการตกชั้นที่ไม่มีใครคาดคิดที่สุดในประวัติศาสตร์ เนื่องจากนี่คือสโมสรที่ถูกคาดหมายว่าจะมีลุ้นทำอันดับในตารางบนของพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ ย้อนกลับไปในตอนที่ เอฟเวอร์ตัน ตกชั้นครั้งสุดท้าย เกิดขึ้นในฤดูกาล 1950-51 หรือ 71 ปี ก่อน โดยรั้งบ๊วยอันดับที่ 22 เก็บได้เพียง 32 แต้มจาก 42 นัด ร่วงไปเล่นในดิวิชั่น 2 กับ เชฟฟิลด์ เว้นสเดย์
อย่างไรก็ตาม พวกเขาใช้เวลาเพียง 3 ฤดูกาลในลีกรอง ก็สามารถเลื่อนชั้นกลับมาในลีกสูงสุดอีกครั้ง ด้วยการจบอันดับ 2 ในดิวิชั่น 2 ฤดูกาล 1953-54
การไม่เคยตกชั้นอีกเลย หลังจากนั้น ทำให้ ‘ท็อฟฟี่สีน้ำเงิน’ กลายเป็นสโมสรที่โลดแล่นในลีกสูงสุดแดนผู้ดีติดต่อกันยาวนานที่สุดเป็นอันดับ 2 เหนือกว่าทั้ง ลิเวอร์พูล (1962-63), แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (1975-76), ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ (1978-79) และ เชลซี (1989-90) มีเพียง อาร์เซน่อล เท่านั้นที่เหนือกว่าพวกเขา หลังอยู่ในลีกสูงสุดของประเทศทุกฤดูกาล นับตั้งแต่ปี 1919-20

แล้วปีนี้จะรอดหรือไม่ ปัจจุบัน เอฟเวอร์ตัน มีแต้มเดียวเหนือโซนตกชั้น และเหลืออีก 9 นัดในดิ้นรนจากโซนอันตราย และหากดูจากตารางแข่งที่เหลือลำบากไม่น้อย มีโอกาสเป็นไปได้ที่พวกเขาจะตกชั้นเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของพรีเมียร์ลีก นับตั้งแต่ปี 1992-93 และเป็นครั้งแรกของสโมสร นับตั้งแต่ฤดูกาล 1954-55
นับตั้งแต่ชัยชนะ 4 จาก 6 เกมแรกในลีกฤดูกาลนี้ ซึ่งเกิดขึ้นภายใต้การคุมทีมของ ราฟาเอล เบนิเตซ กุนซือคนก่อน พวกเขาเก็บชัยชนะเพิ่มได้แค่ 3 เกมเท่านั้นในเวลาต่อมา พร้อมเก็บแต้มได้เพียง 12 คะแนน จาก 23 เกมหลังสุด นับตั้งแต่เดือนตุลาคม (ชนะ 3, แพ้ 17, เสมอ 3) แต่ FiveThirtyEight ก็ได้ทำการวิเคราะห์ว่า ‘ท็อฟฟี่’ เป็นทีมที่มีโอกาสตกชั้นมากที่สุด เมื่อเทียบกับ เบิร์นลี่ย์ หรือ ลีดส์ ยูไนเต็ด คู่แข่งในโซนสีแดง หลังเปอร์เซนต์ตกชั้นเพิ่มขึ้นจาก 31 % จากเมื่อ 2 เกมก่อนเป็น 49 % หลังพ่ายต่อ เบิร์นลี่ย์ (ซึ่งลดลงจาก 53% เป็น 37% ในการตกชั้นหลังเกมนั้น) เกมที่เหลือนอกจากนั้น ล้วนเป็นงานยากสุดๆในการเก็บแต้มหนีตกชั้น เมื่อต้องพบกับทีมตารางบนทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, เลสเตอร์, ลิเวอร์พูล, เชลซี, อาร์เซน่อล, คริสตัล พาเลซ

ผลกระทบหากตกชั้น
การตกชั้นจะทำให้เอฟเวอร์ตันได้รับผลกระทบอย่างมาก เนื่องจากการขาดรายได้ในพรีเมียร์ลีก ส่งผลให้ต้องเลือกปล่อยผู้เล่นตัวหลักในทีมออกไปไม่น้อย เพื่อรักษาสมดุลด้านการเงินในบัญชี
รายแรกที่ถูกคาดหมายว่าอาจลา กูดิสัน ปาร์ค แน่นอนคือ ริชาร์ลิซอน ที่ย้ายมาร่วมทีมในปี 2018 ด้วยค่าตัว 35 ล้านปอนด์ รวมไปถึง จอร์แดน พิคฟอร์ด นายด่านทีมชาติอังกฤษ และ เยร์รี่ มิน่า กองหลังทีมชาติโคลอมเบีย ซึ่งพวกเขาทั้งหมดดีเกินกว่าจะเล่นในแชมเปี้ยนส์ชิพ
ขณะที่ ผู้จัดการทีมอย่าง แฟรงค์ แลมพาร์ด โอกาสถูกไล่ออกมีสูงมาก หาก ท็อฟฟี่ ตกชั้น เนื่องจากเขาถูกว่าจ้างให้คุมทีม โดยมีเป้าหมายช่วยสโมสรอยู่รอดปลอดภัยในลีกให้ได้ หลังฟอร์มของทีมร่วงลงอย่างหนักในมือ ราฟาเอล เบนิเตส
แฟรงค์ แลมพาร์ด อาจเคยสร้างชื่อ ตั้งแต่เริ่มงานกุนซือครั้งแรกกับ ดาร์บี้ เค้าน์ตี้ ในแชมเปี้ยนส์ชิพ ด้วยการพาทีมลุ้นเลื่อนชั้น ก่อนไปพ่าย แอสตัน วิลล่า ในรอบเพลย์ออฟ ปี 2019 และอาจพา ‘ท็อฟฟี่สีน้ำเงิน’ เลื่อนชั้นกลับมาได้อีกครั้ง
แต่ทว่าเงินที่ ฟาร์ฮัด โมชิรี่ นักธุรกิจชาวอิหร่านผู้เป็นเจ้าของสโมสร ใช้จ่ายไปเพื่อดึงนักเตะหลายรายในเดือนมกราคมที่ผ่านมา ทั้ง วิตาลี มิโคเลนโก้, เดเล่ อัลลี่, ดอนนี่ ฟาน เดอ เบ็ค หรือ อันวาร์ เอล กาซี่ ทำไปเพื่อให้ทีมอยู่รอดต่อไป ไม่ใช่หนีตกชั้นแบบนี้ อีก 2 เดือน หลังจากนี้ แฟน ‘ท็อฟฟี่’ เอฟเวอร์โตเนียน คงต้องลุ้นกัน ว่าทีมรักของพวกเขาจะกัดฟันสู้จนเอาตัวรอดไปได้ หรือต้องกลับไปเริ่มต้นกันใหม่ในแชมเปี้ยนส์ชิพฤดูกาลหน้าแทน

รับชมข้อมูล โปรโมชันกิจกรรมต่าง ๆ << คลิกที่นี อัพเดทข่าว ผลบอลสด แบบทันใจ พร้อมวิเคราะห์คู่เด่น ในรอบสัปดาห์ ส่งถึงมือคุณ
